พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๖ พระบิดาแห่งกิจการรักษาดินแดน
ในปีพุทธศักราช ๒๔๕๔ ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๖ พระบิดาแห่งกิจการรักษาดินแดน ได้พระราชทานกำเนิดกิจการรักษาดินแดน โดยทรงให้กำเนิดกิจการเสือป่าขึ้น เมื่อวันที่ ๑ พฤษภาคม ๒๔๕๔ เพื่อเปิดโอกาสให้ผู้ที่ไม่ได้เป็นทหารเข้ารับการฝึกอบรม ให้มีจิตใจรักชาติบ้านเมือง เป็นผู้มีระเบียบวินัย เป็นผู้นำที่ดี มีกำลังกายแข็งแรง และมีความรู้เรื่องอาวุธ การเข้าเป็นเสือป่านั้นให้เข้าด้วยความสมัครใจ ไม่มีการบังคับหรือเรียกเกณฑ์ ต่อมาเมื่อรัชกาลที่ ๖ ทรงเสด็จสวรรคตในปีพุทธศักราช ๒๔๖๘ กิจการเสือป่าก็สิ้นสุดตามไปด้วย
ต่อมาใบปีพุทธศักราช ๒๔๗๘ รัฐบาลในสมัยนั้นได้ฟื้นฟู และปรับปรุงกิจการรักษาดินแดนขึ้นโดยกระทรวงกลาโหม ได้เริ่มมีการฝึกวิชาทหารให้แก่นักเรียน เรียกว่า “ยุวชนทหาร” มีความมุ่งหมายเพื่อให้ฝึกหัดการรบไว้ให้พร้อม ถ้าชาติใดข่มเหงทุกคนในชาติจักได้ช่วยกันสู้รบอย่างเต็มที่ หลักเกณฑ์เข้ารับการฝึกวิชาทหารเพื่อเป็นยุวชนทหารต้องมีอายุไม่ต่ำกว่า ๑๕ ปี และไม่เกิน ๑๗ ปี เป็นลูกเสือเอก และเป็นนักเรียนชั้นมัธยมตอนปลาย กิจการยุวชนทหารได้เจริญก้าวหน้ามาโดยลำดับ เมื่อเกิดสงครามโลกครั้งที่ ๒ กองทัพญี่ปุ่นได้บุกรุกประเทศไทย โดยยกพลขึ้นบกบนแผ่นดินไทยหลายแห่งด้วยกัน เมื่อวันที่ ๘ ธันวาคม ๒๔๘๔ หน่วยยุวชนทหารจังหวัดชุมพร มีกำลังพลประมาณ ๑ หมวด โดยมี ร.อ.ถวิล นิยมเสน เป็นหัวหน้า ได้นำกำลังขัดขวางการรุกรานของทหารญี่ปุ่น ณ บริเวณสะพานท่านางสังข์และสามารถขัดขวางทหารญี่ปุ่นไว้ได้ ผลจากการปฏิบัติการรบทำให้ ร.อ.ถวิล นิยมเสน และยุวชนทหาร ๓ นาย ต้องเสียชีวิต วีรกรรมดังกล่าวยังคงเป็นที่สรรเสริญของคนไทยมาจนทุกวันนี้ และเมื่อสงครามโลกครั้งที่ ๒ ยุติลงในพุทธศักราช ๒๔๘๘ กิจการยุวชนทหารจึงได้สลายตัวตามนโยบายของรัฐบาล
ปีพุทธศักราช ๒๔๙๑ พล.ท.หลวงชาตินักรบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ได้พิจารณาเห็นว่า การสงครามในอนาคตนั้น พลเมืองทุกคนไม่จำกัดเพศและวัย และไม่ว่าจะอยู่ ณ สถานที่ใด ย่อมจะต้องมีส่วนร่วมในสงครามด้วยกันทั้งสิ้น จึงจัดให้มีการฝึกพลเมืองที่สามารถเข้ารับการฝึกวิชาทหารได้ เพื่อให้ได้บุคคลสามารถทำหน้าที่อย่างทหารได้ในยามสงคราม กองทัพมีความจำเป็นต้องขยายโครงสร้างพร้อมกับพัฒนาระบบกำลังสำรองควบคู่กัน ไป กรมการรักษาดินแดนจึงถือกำเนิดขึ้นครั้งแรก ตามพระราชบัญญัติจัดระเบียบป้องกันราชอาณาจักร พุทธศักราช ๒๔๙๑ และคำสั่งทหารที่ ๕๔/๒๔๗๗ ลง ๑๓ กุมภาพันธ์ ๒๔๙๑ โดยเป็นหน่วยขึ้นตรงต่อกระทรวงกลาโหม ตั้งแต่วันที่ ๔ กุมภาพันธ์ ๒๔๙๑ เป็นต้นมา และมีที่ตั้งครั้งแรกอยู่ในบริเวณมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
พ.ศ.2475 ประเทศไทยเริ่มมีการฝึกยุวชนทหารเพื่อผลิตทหารกองหนุน สนับสนุนการรบของกองทัพไทย กล่าวได้ว่าการฝึกนักศึกษาวิชาทหาร (นศท.) มีต้นกำเนิดและแนวคิดมาจากยุวชนทหาร
พ.ศ.2491 กิจการการศึกษาวิชาทหารได้เริ่มต้นขึ้นโดยมีการสถาปนากรมการรักษาดินแดน ตาม พ.ร.บ.จัดระเบียบป้องกันราชอาณาจักร 2491 เพื่อดำเนินกิจการดังกล่าว ลงคำสั่งทหารที่ 54/2477 วันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2491 โดยแนวคิดของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมในขณะนั้น (ต่อมาแก้ไขโดย พ.ร.บ.จัดระเบียบป้องกันราชอาณาจักร 2500)
การสงครามในอนาคตนั้น พลเมืองทุกคนไม่จำกัดเพศและวัย ย่อมจะต้องมีส่วนร่วมในสงครามด้วยกันทั้งสิ้น จึงมีความจำเป็นต้องขยายโครงสร้างของกองทัพ พร้อมกับพัฒนาระบบกำลังสำรองควบคู่กันไป | ||
— พลโทหลวงชาตินักรบ (ศุข นักรบ) |
พ.ศ.2497 ได้มีพิธีประดับยศเป็น ว่าที่ร้อยตรี สำหรับผู้สำเร็จการฝึกวิชาทหารเป็นครั้งแรกเมื่อวันที่ 17 พ.ค. 2497
พ.ศ.2528 ได้เริ่มมีการฝึกนศท.หญิงเป็นครั้งแรก พร้อมกับการฝึกนศท.ชั้นปีที่ 4 ในส่วนของกองทัพเรือ
พ.ศ.2544 สถาปนา หน่วยบัญชาการกำลังสำรอง (นสร.) โดยการรวมกิจการของกรมการรักษาดินแดน และกรมการกำลังสำรองทหารบกเข้าด้วยกัน ลงคำสั่ง ทบ.(เฉพาะ) ที่ 63/44 ลงวันที่ 13 ธันวาคม 2544
พ.ศ.2552 เปลี่ยนนามหน่วยเป็น หน่วยบัญชาการรักษาดินแดน (นรด.) แทนชื่อเดิม หน่วยบัญชาการกำลังสำรอง (นสร.) [9] โดย นรด. มีหน้าที่วางแผน อำนวยการ ประสานงาน กำกับการและดำเนินการเกี่ยวกับกิจการกำลังสำรองทั้งปวง กิจการสัสดี รวมทั้งปกครองบังคับบัญชาหน่วยทหารที่กระทรวงกลาโหมกำหนด มีผู้บัญชาการหน่วยบัญชาการรักษาดินแดน เป็นผู้บังคับบัญชารับผิดชอบ การฝึกนศท.จึงได้รับการอำนวยการจากหน่วยงานดังกล่าวจนถึงปัจจุบัน
การคัดเลือก
ช่วงเดือนพฤษภาคมของทุกปี จะมีการคัดเลือกนักเรียนนักศึกษาในสถาบันการศึกษาต่าง ๆ เพื่อเข้าเป็นนักศึกษาวิชาทหาร โดยผู้เข้ารับการคัดเลือกจะต้องมีคุณลักษณะดังนี้- สำเร็จการศึกษาตั้งแต่ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 หรือเทียบเท่าขึ้นไป และมีผลการศึกษาของชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 หรือเทียบเท่า ตั้งแต่ 1.0 ขึ้นไป
- กำลังศึกษาอยู่ในสถานศึกษาที่หน่วยบัญชาการรักษาดินแดนเปิดทำการฝึกวิชาทหาร
- เป็นบุคคลชายหรือหญิงและมีสัญชาติไทย
- เป็นบุคคลผู้มีอายุตั้งแต่ 15 ปี และไม่เกิน 22 ปี นับตามกฎหมายว่าด้วยการรับราชการทหาร และต้องได้รับคำยินยอมจาก บิดา มารดา หรือผู้ปกครอง (กรณีที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะ)
- เป็นบุคคลที่ไม่พิการ ทุพพลภาพ หรือมีโรค ซึ่งไม่สามารถจะรับราชการทหารได้ ตามกฎหมาย ว่าด้วยการรับราชการทหาร พ.ศ. 2497
- เป็นบุคคลที่ไม่มีลักษณะต้องห้ามการเป็นทหารในเฉพาะบางท้องที่ ตามกฎหมาย ที่ออกตามความในมาตรา 13 (3) แห่งพระราชบัญญัติรับราชการทหาร พ.ศ. 2497
- เป็นบุคคลผู้มีน้ำหนัก ขนาดรอบตัว ขนาดส่วนสูง ตามเกณฑ์ที่กำหนดไว้ โดยผู้สมัครต้องผ่านการทดสอบร่างกาย ตามเกณฑ์ที่กำหนด
- มีใบรับรองของสถานศึกษาว่ามีความประพฤติเรียบร้อย สมควรเข้ารับการฝึกวิชาทหาร
- เป็นบุคคลผู้มีค่าดัชนีมวลกาย (BMI: Body Mass Index) อยู่ในเกณฑ์ปกติ และต้องไม่อยู่ในภาวะ โรคอ้วน ซึ่งมีดัชนีความหนาของร่างกาย ตั้งแต่ 30 กิโลกรัมต่อตารางเมตรขึ้นไป (BMI = น้ำหนักตัว (กก.) / ส่วนสูง² (ม.²) )
- ผ่านเกณฑ์ทดสอบสมรรถภาพการคัดเลือกนักศึกษาในปี พ.ศ. 2553 คือ วิ่ง 800 เมตร ใน 3 นาที 15 วินาที, ลุกนั่ง (ซิดอัป) 34 ครั้ง ใน 2 นาที , ดันพื้น (วิดพื้น) 22 ครั้ง ใน 2 นาที
หลักสูตรและการเรียนการสอน
- เป้าหมายของการฝึกนักศึกษาวิชาทหารในแต่ละชั้นปี
- ชั้นปีที่ 1 และ 2 ให้นักศึกษาวิชาทหาร มีความรู้วิชาทหารเบื้องต้นในระดับลูกแถว เพื่อให้บังเกิดความมีระเบียบวินัยเสริมสร้างบุคลิกลักษณะทหาร สามารถใช้อาวุธประจำกายและทำการยิงอย่างได้ผล
- ชั้นปีที่ 3 ให้นักศึกษาวิชาทหาร มีความรู้วิชาทหารในระดับผู้บังคับหมู่เพื่อให้มีความพร้อม ในการควบคุมบังคับบัญชาหน่วยในการปฏิบัติการรบในแบบ และการรบนอกแบบ
- ชั้นปีที่ 4 ให้นักศึกษาวิชาทหาร มีความรู้วิชาทหารในระดับรองผู้บังคับหมวดเพื่อให้มีความพร้อม ในการควบคุมบังคับบัญชาหน่วยในการปฏิบัติการรบในแบบ และการรบนอกแบบ
- ชั้นปีที่ 5 ให้นักศึกษาวิชาทหาร มีความรู้วิชาทหารในระดับผู้บังคับหมวดเพื่อให้มีความพร้อม ในการควบคุมบังคับบัญชาหน่วยในการปฏิบัติการรบในแบบ และการรบนอกแบบ
นักศึกษาวิชาทหาร ในส่วนของกองทัพบก
นักศึกษาวิชาทหารในส่วนของกองทัพบกสามารถแบ่งออกได้ 5 เหล่าคือ- เหล่าทหารราบ
- เหล่าทหารม้า
- เหล่าทหารปืนใหญ่
- เหล่าทหารสื่อสาร
- เหล่าทหารช่าง
- ภาคที่ตั้ง
- ภาคสนาม
- ชั้นปีที่ 2 ทำการฝึกภาคสนาม ณ ค่ายฝึกตามที่ศูนย์ฝึกนักศึกษาวิชาทหารประจำ จทบ. มทบ. อย่างน้อย 3 วัน 2 คืน
- ชั้นปีที่ 3 ทำการฝึกภาคสนาม ณ ค่ายฝึกตามที่ศูนย์ฝึกนักศึกษาวิชาทหารประจำ จทบ. มทบ. อย่างน้อย 5 วัน 4 คืน
- ชั้นปีที่ 4 ทำการฝึกภาคสนาม ณ ค่ายฝึกเขาชนไก่ จ.กาญจนบุรี อย่างน้อย 7 วัน 6 คืน
- ชั้นปีที่ 5 ทำการฝึกภาคสนาม ณ ค่ายฝึกเขาชนไก่ จ.กาญจนบุรี อย่างน้อย 7 วัน 6 คืน
- ชั้นปีที่ 2 ทำการฝึกภาคสนาม ณ ค่ายฝึกตามที่ศูนย์ฝึกนักศึกษาวิชาทหารประจำ จทบ. มทบ. อย่างน้อย 3 วัน 2 คืน
- ชั้นปีที่ 3 ทำการฝึกภาคสนาม ณ ค่ายฝึกตามที่ศูนย์ฝึกนักศึกษาวิชาทหารประจำ จทบ. มทบ. อย่างน้อย 3 วัน 2 คืน
- ชั้นปีที่ 4 ทำการฝึกภาคสนาม ณ ค่ายฝึกเขาชนไก่ จ.กาญจนบุรี อย่างน้อย 5 วัน 4 คืน
- ชั้นปีที่ 5 ทำการฝึกภาคสนาม ณ ค่ายฝึกเขาชนไก่ จ.กาญจนบุรี อย่างน้อย 5 วัน 4 คืน
- หลักสูตรพิเศษ
นักศึกษาวิชาทหาร ในส่วนกองทัพเรือ (ราชนาวี)
สังกัดกองการกำลังพลสำรอง กรมกำลังพลทหารเรือ โดย กพส.กพ.ทร.ได้ประสานกับ นรด.เพื่อจัดหานักศึกษาวิชาทหารที่มีภูมิลำเนาอยู่ในพื้นที่ของกองทัพเรือ หรือเป็นทหารกองหนุนประเภทที่ 1 ในส่วนของกองทัพเรือ (สมุดประจำตัวทหารกองหนุน หรือ สด.8 เป็นเล่มสีน้ำตาล) เข้ารับการศึกษาวิชาทหารในชั้นปีที่ 4 โดยแต่ละปีการศึกษาจะรับนึกศึกษาวิชาทหารประมาณ 90 นายพ.ศ. 2552 การฝึกนักศึกษาวิชาทหารชั้นปีที่ 1 ในส่วนของกองทัพเรือเกิดขึ้นเป็นครั้งแรก ซึ่งจะขยายการฝึกจนครบทั้ง 5 ชั้นปีเช่นเดียวกับนักศึกษาวิชาทหารในส่วนของกองทัพบก แต่ยังเปิดรับนักศึกษาวิชาทหารที่สำเร็จการฝึกชั้นปีที่ 3 ในส่วนของกองทัพบกที่ประสงค์โอนย้ายมาฝึกวิชาทหารชั้นปีที่ 4 ในส่วนของกองทัพเรือไปจนถึงปีการศึกษา 2554
พ.ศ.2555 เป็นต้นไป การรับนักศึกษาวิชาทหารชั้นปีที่ 4 จะรับสมัครนักศึกษาวิชาทหารที่สำเร็จการฝึกวิชาทหารชั้นปีที่ 3 จากกองทัพเรือเป็นเกณฑ์หลัก
การรับสมัครบุคคลเข้าศึกษาวิชาทหารชั้นปีที่ 4
- เป็นผู้ที่สำเร็จวิชาทหารชั้นปีที่ 3 และปลดเป็นทหารกองหนุนประเภทที่ 1 (สมุด สด.8 สีน้ำตาล)
- ถ้าผู้เข้าศึกษาวิชาทหารชั้นปีที่ 4 ไม่ครบตามจำนวน จะพิจารณาจากนักศึกษาวิชาทหารที่สำเร็จชั้นปีที่ 3 ในส่วนของกองทัพบก (สมุด สด.8 สีเขียว) ในเขตพื้นที่จังหวัด ชลบุรี ระยอง จันทบุรี และตราด
- เมื่อปฏิบัติตามข้อที่ 2 ไม่ครบตามจำนวน จะพิจารณานักศึกษาวิชาทหารที่สำเร็จชั้นปีที่ 3 ในส่วนของกองทัพบก (สมุด สด.8 สีเขียว) นอกเขตพื้นที่จังหวัด ชลบุรี ระยอง จันทบุรี และตราด
- พรรคนาวิน สังกัด กองเรือยุทธการ (กร.) เปิดรับทุก ๆ ปี ปีละประมาณ 45 นาย
- พรรคนาวิกโยธิน สังกัด หน่วยบัญชาการนาวิกโยธิน (นย.) เปิดรับปีเว้นปี ปีละประมาณ 45 นาย
- พรรคนาวิน สังกัด หน่วยบัญชาการต่อสู้อากาศยานและรักษาฝั่ง (สอ.รฝ.) เปิดรับปีเว้นปี (สลับกับ นย.) ปีละประมาณ 45 นาย
- นักศึกษาวิชาทหารชั้นปีที่ 4 จะเข้ารับการฝึกเป็นเวลา 7 วัน ที่กองการฝึก กองเรือยุทธการ (กฝร.)
- นักศึกษาวิชาทหารชั้นปีที่ 5 จะแยกฝึกตามสังกัดของตน (กร., นย. หรือ สอ.รฝ.) โดยใช้เวลาฝึก 17 วัน
- หลักสูตรก่อนการแต่งตั้งยศเป็น ว่าที่เรือตรี ณ ศูนย์การฝึก หน่วยบัญชาการนาวิกโยธิน (ศฝ.นย.) เป็นเวลา 15 วัน
นักศึกษาวิชาทหาร ในส่วนของกองทัพอากาศ
ปีการศึกษา 2549 กรมกำลังพลทหารอากาศได้รับอนุมัติจากกองทัพอากาศ เปิดการฝึกนักศึกษาวิชาทหารชั้นปีที่ 1 และจะเปิดการฝึกครบทั้ง 5 ชั้นปี ในปีการศึกษา 2553 โดยกองทัพอากาศต้องการเน้นเฉพาะการฝึกนักศึกษาวิชาทหารเพื่อเป็นกำลังพล สำรองในส่วนช่างเทคนิค เพื่อชดเชยกำลังหลักในส่วนดังกล่าวที่ขาดแคลน โดยจะคัดเลือกเฉพาะนักศึกษาวิชาทหารที่สถานศึกษามีที่ตั้งใกล้เคียงกับกอง บัญชาการกองทัพอากาศกรุงเทพมหานคร และเปิดสอนในด้านช่างเทคนิค ซึ่งได้แก่ วิทยาลัยเทคนิคดอนเมือง วิทยาลัยเทคนิคมีนบุรี โรงเรียนเซนต์จอห์นโปลิเทคนิคสิทธิที่นักศึกษาวิชาทหารจะได้รับ
การแต่งกาย
นักศึกษาวิชาทหารมีสิทธิแต่งเครื่องแบบนักศึกษาวิชาทหารได้ ตามพระราชบัญญัติเครื่องแบบนักศึกษาวิชาทหารและเครื่องแบบผู้กำกับนักศึกษา วิชาทหาร พ.ศ. 2521การยกเว้นตรวจเลือกเข้ารับราชการทหารกองประจำการ
นักศึกษาวิชาทหารที่อยู่ระหว่างการเข้ารับการฝึกวิชาทหารตามหลักสูตร ของกระทรวงกลาโหม ในพระราชบัญญัติส่งเสริมการฝึกวิชาทหาร พ.ศ. 2503 มีสิทธิได้รับการยกเว้นการเรียกมาตรวจเลือกเข้ารับราชการทหารกองประจำการใน ยามปกติ ตามพระราชบัญญัติรับราชการทหาร พ.ศ. 2497การเข้ารับราชการทหารกองประจำการ
บุคคลชายผู้มีสัญชาติไทยโดยกำเนิด มีหน้าที่รับราชการทหารด้วยตนเองทุกคน- นักศึกษาวิชาทหารที่สำเร็จชั้นปีที่ 1 มีสิทธิเข้ารับราชการทหารกองประจำการ 1 ปี 6 เดือน หรือร้องขอสมัครใจเป็น 1 ปี
- นักศึกษาวิชาทหารที่สำเร็จชั้นปีที่ 2 มีสิทธิเข้ารับราชการทหารกองประจำการ 1 ปี หรือร้องขอสมัครใจเป็น 6 เดือน
- นักศึกษาวิชาทหารที่สำเร็จชั้นปีที่ 3 มีสิทธิได้รับการขึ้นทะเบียนกองประจำการและปลดเป็นทหารกองหนุนประเภทที่ 1 (ได้รับยกเว้นการเข้ารับราชการทหารกองประจำการ )
การเพิ่มคะแนนพิเศษ
นักศึกษาวิชาทหารมีสิทธิได้รับการเพิ่มคะแนนพิเศษ เมื่อสอบเข้าโรงเรียนทหาร ตามข้อบังคับ กห.ว่าด้วยโรงเรียนทหาร พ.ศ. 2492 คือ- สำเร็จการฝึกวิชาทหารชั้นปีที่ 1 เพิ่มให้ร้อยละ 3
- สำเร็จการฝึกวิชาทหารชั้นปีที่ 2 เพิ่มให้ร้อยละ 4
- สำเร็จการฝึกวิชาทหารชั้นปีที่ 3 เพิ่มให้ร้อยละ 5
- สำเร็จการฝึกวิชาทหารชั้นปีที่ 4 เพิ่มให้ร้อยละ 6
- สำเร็จการฝึกวิชาทหารชั้นปีที่ 5 เพิ่มให้ร้อยละ 7
การแต่งตั้งยศทหาร
การแต่งตั้งยศทหารของนักศึกษาวิชาทหารผู้สำเร็จการฝึกวิชาทหาร (ในส่วนของกองทัพบก กองทัพเรือ และกองทัพอากาศ ) ซึ่งเป็นผู้มีคุณสมบัติครบถ้วนตามข้อบังคับกระทรวงกลาโหม ว่าด้วยการแต่งตั้งยศทหาร พ.ศ. 2507 ระเบียบกระทรวงกลาโหม ว่าด้วยการแต่งตั้งยศผู้สำเร็จการฝึกวิชาทหารตามหลักสูตรของกระทรวงกลาโหม ตามกฎหมายว่าด้วยการส่งเสริมการฝึกวิชาทหาร พ.ศ. 2524 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยระเบียบกระทรวงกลาโหม ว่าด้วยการแต่งตั้งยศผู้สำเร็จการฝึกวิชาทหารตามหลักสูตรของกระทรวงกลาโหม ตามกฎหมายว่าด้วยการส่งเสริมการฝึกวิชาทหาร (ฉบับที่ 4) พ.ศ. 2537 ดังต่อไปนี้ระดับการศึกษาที่สำเร็จ (วิชาทหารตามหลักสูตรของ กห.) | ระดับการศึกษาที่สำเร็จ (วิทยฐานะ ศธ.รับรอง) | ยศทหาร ทหารบก ทหารเรือ ทหารอากาศ | อักษรย่อ ทบ. ทร. ทอ. |
---|---|---|---|
ชั้นปีที่ 1 | มัธยมศึกษาตอนปลายหรือเทียบเท่า | สิบตรี จ่าตรี จ่าอากาศตรี | ส.ต. จ.ต. จ.ต. |
อนุปริญญาหรือเทียบเท่า - ปริญญาตรี | สิบโท จ่าโท จ่าอากาศโท | ส.ท. จ.ท. จ.ท. | |
ชั้นปีที่ 2 | - | สิบตรี จ่าตรี จ่าอากาศตรี | ส.ต. จ.ต. จ.ต. |
มัธยมศึกษาตอนปลายหรือเทียบเท่า | สิบโท จ่าโท จ่าอากาศโท | ส.ท. จ.ท. จ.ท. | |
อนุปริญญาหรือเทียบเท่า - ปริญญาตรี | สิบเอก จ่าเอก จ่าอากาศเอก | ส.อ. จ.อ. จ.อ. | |
ชั้นปีที่ 3 | - | สิบโท จ่าโท จ่าอากาศโท | ส.ท. จ.ท. จ.ท. |
มัธยมศึกษาตอนปลายหรือเทียบเท่า | สิบเอก จ่าเอก จ่าอากาศเอก | ส.อ. จ.อ. จ.อ. | |
อนุปริญญาหรือเทียบเท่า - ปริญญาตรี | จ่าสิบตรี พันจ่าตรี พันจ่าอากาศตรี | จ.ส.ต. พ.จ.ต. พ.อ.ต. | |
ชั้นปีที่ 4 | - | จ่าสิบตรี พันจ่าตรี พันจ่าอากาศตรี | จ.ส.ต. พ.จ.ต. พ.อ.ต. |
อนุปริญญาหรือเทียบเท่า | จ่าสิบโท พันจ่าโท พันจ่าอากาศโท | จ.ส.ท. พ.จ.ท. พ.อ.ท. | |
ปริญญาตรี | จ่าสิบเอก พันจ่าเอก พันจ่าอากาศเอก | จ.ส.อ. พ.จ.อ. พ.อ.อ. | |
ชั้นปีที่ 5 | - | จ่าสิบเอก พันจ่าเอก พันจ่าอากาศเอก | จ.ส.อ. พ.จ.อ. พ.อ.อ. |
อนุปริญญาหรือเทียบเท่า - ปริญญาตรี | ร้อยตรี เรือตรี เรืออากาศตรี | ร.ต. ร.ต.(ชื่อ) ร.น. ร.ต. | |
หลักสูตรฝึกเลื่อนยศ(สูงสุด) | พันตรี นาวาตรี นาวาอากาศตรี | พ.ต. น.ต.(ชื่อ) ร.น. น.ต. |
หมายเหตุ 2 : เมื่อได้รับการแต่งตั้งยศเป็นนายทหารสัญญาบัตรแล้วให้ปลดเป็นนายทหารสัญญาบัตรกองหนุน(ไม่มีเบี้ยหวัด) หรือได้รับการแต่งตั้งเป็นนายทหารประทวน ซึ่งทั้งสองกรณีให้ปลดเป็นทหารกองหนุน ประเภทที่ 1 เช่นเดีัยวกัน
หมายเหตุ 3 : เมื่อสมัครสอบคัดเลือกและได้รับการบรรจุเป็นข้าราชการทหาร การแต่งตั้ง การเลื่อนหรือลดตำแหน่ง การย้าย การโอน การเลื่อนชั้นเงินเดือน...ให้เป็นไปตามระเบียบที่กระทรวงกลาโหมกำหนด ตามพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการทหาร พ.ศ. 2521 (แก้ไขเพิ่มเติม ฉับบที่ 7 พ.ศ. 2551 ) ส่วนการแต่งตั้งยศทหารให้เป็นไปตามระเบียบที่กระทรวงกลาโหมกำหนดตามพระราชบัญญัติยศทหาร พ.ศ. 2479 (แก้ไขเพิ่มเติม ฉบับที่ 4 พ.ศ. 2494 และ ฉบับที่ 7 พ.ศ. 2505)
ทำเนียบเจ้ากรม กรมการรักษาดินแดน
- พลเอก สุทธิ สุทธิสารณกร พ.ศ. 2491 - 2491
- พลโท ขุนศิลป์ศรชัย พ.ศ. 2491 - 2492
- พลตรี จำรัส จำรัสโรมรัน พ.ศ. 2492 - 2494
- พลโท ขุนศิลป์ศรชัย พ.ศ. 2494 - 2495
- พลโท สุรใจ พูลทรัพย์ พ.ศ. 2495 - 2506
- พลโท พิศิษฐ์ ฉายเหมือนวงศ์ พ.ศ. 2506 - 2507
- พลโท บุญชัย บำรุงพงศ์ พ.ศ. 2507 - 2508
- พลโท ยุทธ สมบูรณ์ พ.ศ. 2508 - 2513
- พลโท อุทัย ฉายแสงจันทร์ พ.ศ. 2513 - 2515
- พลโท พนม โชติพิมาย พ.ศ. 2515 - 2517
- พลโท แสวง ขมะสุนทร พ.ศ. 2517 - 2519
- พลโท เอื้อม จิระพงศ์ พ.ศ. 2519 - 2522
- พลโท ณรงค์ฤทธิ์ มหารักขะกะ พ.ศ. 2522 - 2523
- พลโท เทียนชัย สิริสัมพันธ์ พ.ศ. 2523 - 2525
- พลโท จารุ จาติกานนท์ พ.ศ. 2525 - 2528
- พลโท วิจิตร สุขมาก พ.ศ. 2528 - 2530
- พลโท วิโรจน์ แสงสนิท พ.ศ. 2530 - 2531
- พลโท วชิรพล พลเวียง พ.ศ. 2531 - 2533
- พลโท อารียะ อุโฆษกิจ พ.ศ. 2533 - 2534
- พลโท อานุภาพ ทรงสุนทร พ.ศ. 2534 - 2535
- พลโท ยุทธพันธุ์ มกรมณี พ.ศ. 2535 - 2536
- พลโท ประยูร มีเดช พ.ศ. 2536 - 2538
- พลโท การุญ ฉายเหมือนวงศ์ พ.ศ. 2538 - 2540
- พลโท พนม จีนะวิจารณะ พ.ศ. 2540 - 2542
- พลโท หาญ เพไทย พ.ศ. 2542 - 2543
- พลโท เกรียงไกร เจริญศิริ พ.ศ. 2543 - 2544
- พลโท จำลอง บุญกระพือ พ.ศ. 2544
ทำเนียบเจ้ากรม กรมการกำลังสำรองทหารบก
- พลตรี เหรียญ ดิษฐบรรจง พ.ศ. 2513 - 2519
- พลตรี จิตต์กวี เกษะโกมล พ.ศ. 2519 - 2521
- พลตรี มานะ รัตนโกเศศ พ.ศ. 2521 - 2524
- พลตรี ศิริชัย ลักษณียนาวิน พ.ศ. 2524 - 2526
- พลตรี ปัญญา ขวัญอยู่ พ.ศ. 2526 - 2528
- พลตรี ปราโมทย์ ระงับภัย พ.ศ. 2528 - 2531
- พลตรี อุทัย ชุณหเพสย์ พ.ศ. 2531 - 2534
- พลตรี สุพจน์ เกิดชูชื่น พ.ศ. 2534 - 2537
- พลตรี บรรจบ จูภาวิง พ.ศ. 2537 - 2541
- พลตรี ศักดิ์สิน ทิพย์เกษร พ.ศ. 2541 - 2544
ทำเนียบผู้บัญชาการ หน่วยบัญชาการกำลังสำรอง
- พลโท จำลอง บุญกระพือ พ.ศ. 2544 - 2545
- พลโท ชาญวิช ศรีธรรมวุฒิ พ.ศ. 2545 - 2546
- พลโท ศักดิ์สิน ทิพยเกษร พ.ศ. 2546 - 2547
- พลโท วิชญ ไขรัศมี พ.ศ. 2547 - 2548
- พลโท อาทร โลหิตกุล พ.ศ. 2548 - 2549
- พลโท มนตรี สังขทรัพย์ พ.ศ. 2549 - 2549
- พลโท สมเกียรติ สุทธิไวยกิจ พ.ศ. 2549 - 2551
- พลโท สิงห์ศึก สิงห์ไพร พ.ศ. 2551- 2552
ทำเนียบผู้บัญชาการ หน่วยบัญชาการรักษาดินแดน(ปัจจุบัน)
- พลโท สิงห์ศึก สิงห์ไพร พ.ศ. 2552 - 2552
- พลโท ธนดล เผ่าจินดา พ.ศ. 2552 - 2554
- พลโท ชูเกียรติ เธียรสุนทร พ.ศ. 2554 -2555
- พลโท วิชิต ศรีประเสริฐ พ.ศ. 2555 - 2556
- พลโท ยศนันท์ หร่ายเจริญ พ.ศ.2556 - 2557
- พลโท ทลวงรณ วรชาติ พ.ศ.2557-2558
- พลโท วีรชัย อินทุโสภน พ.ศ.2558 - ปัจจุบัน
ผู้บังคับบัญชาหน่วยบัญชาการรักษาดินแดน
ผู้บัญชาการหน่วยบัญชาการรักษาดินแดน Lt.Gen. Werachai Indusobhana Commanding General Territorial Defense Command |
|
|
เสนาธิการหน่วยบัญชาการรักษาดินแดน Maj.Gen. Watchara Nittayasut Territorial Defense Command Chief of staff | |
ผู้บัญชาการศูนย์การกำลังสำรอง Maj.Gen. Commanding General Reserve Affairs Center | ผู้บัญชาการกองพลทหารราบที่ 11 Maj.Gen. Commanding General 11th Infantry Division |
ตามพระราชกฤษฎีกาแบ่งส่วนราชการ และกำหนดหน้าที่ของส่วนราชการ กองทัพบก พ.ศ.2544 และประกาศในราชกิจจานุเบกษาฯ ลง วันที่ 10 พฤษภาคม 2544 ให้หน่วยบัญชาการกำลังสำรอง เป็นส่วนราชการของกองทัพบก มีผลบังคับใช้ ตั้งแต่วันที่ 11 พฤษภาคม 2544 ตามคำสั่ง ทบ.(เฉพาะ) ที่ 63/44 ลงวันที่ 13 ธันวาคม 2544 ให้จัดตั้งหน่วยบัญชาการกำลังสำรองโดยรวมกรมการรักษาดินแดน และกรมการกำลังสำรองทหารบกเข้าด้วยกัน |
ผบ.ทบ. ได้กรุณาอนุมัติคำสั่ง ทบ. เรื่อง เปลี่ยนนามหน่วย แปรสภาพหน่วยและปรับปรุงโครงสร้างหน่วยทหาร เพื่อรองรับ พ.ร.ฎ. แบ่งส่วนราชการและกำหนดหน้าที่ของส่วนราชการ กองทัพบก กองทัพไทย กระทรวงกลาโหม พ.ศ.2552 ซึ่งได้ประกาศใช้ และให้มีผลในทางปฏิบัติตั้งแต่ 1 เม.ย.52 ให้เปลี่ยนนามหน่วย [เดิม] หน่วยบัญชาการกำลังสำรอง (นสร.) เป็น หน่วยบัญชาการรักษาดินแดน ใช้นามย่อ "นรด." และ ตามพระราชกฤษฎีกาแบ่งส่วนราชการ และกำหนดหน้าที่ของส่วนราชการ กองทัพบก พ.ศ.2552 และประกาศใน ราชกิจจานุเบกษาฯ เล่ม 126 ตอนที่ 19 ก หน้า 16 ลงวันที่ 30 มีนาคม 2552 มาตราที่ 17 ให้หน่วยบัญชาการรักษาดินแดน มีหน้าที่วางแผน อำนวยการ ประสานงาน กำกับการและดำเนินการเกี่ยวกับกิจการกำลังสำรองทั้งปวง กิจการสัสดี รวมทั้งปกครองบังคับบัญชาหน่วยทหารที่กระทรวงกลาโหมกำหนด มีผู้บัญชาการหน่วยบัญชาการรักษาดินแดนเป็นผู้บังคับบัญชารับผิดชอบ |
|